ตำนานพระธุดงค์กับผีปอบลิ้นดำ จ.สุรินทร์

Posted on 6 ตุลาคม 20206 ตุลาคม 2020Categories ตำนานTags ,

สำหรับเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องราวของพระรูปหนึ่งที่ได้เดินทางธุดงค์ไปถึงที่จังหวัดสุรินทร์แล้วก็ได้ไปพบกับเรื่องราวของปอบลิ้นดำเราอยากบอกคุณคนที่เข้ามาอ่านก่อนว่าเรื่องราวที่ได้อ่านนี้ให้ใช้วิจารณาญาณในการอ่านให้ดีๆเราจะไม่ขอฟันธงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา 

ซึ่งเรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปในปี2542เป็นประสบการณ์ตรงของคุณพงษ์เลยโดยคุณพงษ์ได้บวชเป็นพระอยู่แล้วก็ได้ติดตามพระอาจารย์ท่านหนึ่งไปออกเดินทางธุดงค์ไปในสมัยนั้นป่ามีเยอะมันยังไม่เท่าสมัยนี้สมัยก่อนต้นไม้หรือภูเขาจนอุดมสมบูรณ์มากๆเลย

โดยคุณพงษ์และพระอาจารย์ก็ได้เดินทางออกจากจังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปที่ดินแดนอีสานเดินทางไปเรื่อยๆค่ำไหนก็ปักกลดนอนที่นั่นเลยการเดินธุดงค์ครั้งนี้ของคุณพงษ์และพระอาจารย์กินเวลาไปประมาณเกือบสองเดือนจนกระทั่งไปถึงที่จังหวัดสุรินทร์ในช่วงเวลาค่ำพระอาจารย์ก็ได้เลือกปักกลดเป็นทำเลที่เป็นวัดร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์

เมื่อช่วงเวลาค่ำหลังจากพระภิกษุทั้งสองรูปนั้นก็คือตัวคุณพงษ์และตัวพระอาจารย์ทำกิจอะไรต่างๆเสร็จก็ได้มีผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้านอีกสี่คนเข้ามากราบสักการะพระอาจารย์และได้บอกว่าดีเหลือเกินไม่มีพระเข้ามาให้ญาติโยมได้กราบไหว้กันมานานแล้ว

เนื่องจากว่าในสมัยนั้นจะมีวัดร้างเยอะมากๆเลยเพราะว่าพระในสมัยก่อนจะไม่เหมือนกับพระในสมัยนี้ผู้ที่บวชเรียนในสมัยก่อนว่ากับว่าน้อยมากๆพระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนกับสมัยนี้เลยแล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่าพระอาจารย์จะปักกลดโปรดญาติโยมอีกกี่วัน

พระอาจนารย์ได้บอกว่าหากสถานที่นั้นสงบและเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมก็จะอยู่สักสองสามวันเนื่องจากว่าได้เดินธุดงค์มานานมากแล้วก็เลยอยากจะพักปฏิบัติสักทีผู้ใหญ่บ้านสาธุไปแล้วก็พูดว่าผมจะให้ลูกบ้านไปประกาศว่ามีพระจะปักกลดอยู่ในบริเวณนี้จะได้มาทำบุญใส่บาตรจากนั้นชาวบ้านก็ก้มกราบและขอตัวกลับบ้านกันก่อนเสร็จแล้วพระทั้งสองก็ได้ปฏิบัติธรรมกันต่อนั่งสมาธิเดินจงกลมนั่งวิปัสสนากรรมฐานต่างๆ

เมื่อเวลาเที่ยงคืนก็ได้ถึงเวลาเข้ากลดจำวัดกันโดยในเวลาเที่ยวคืนต่างจังหวัดก็ถือว่าดึกมากแล้วเพื่อที่ว่าเวลาตีสี่จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัดสวดมนต์กันคืนแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเวลามาถึงช่วงตีสี่พระทั้งสองรูปนี้ก็ตื่นขึ้นมาทำวัดสวดมนต์แล้วก็นั่งปฏิบัติธรรมจนถึงหกโมงเช้ากันเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย  bk8

กระบวนการเรดการ์ดเริ่มถูกลดทอนอำนาจลง

Posted on 29 สิงหาคม 202029 สิงหาคม 2020Categories ประวัติศาสตร์Tags ,

เมื่อถึงปลายปี1967 เมื่อได้มีคนถูกPurgeกันไปจนจะหมดอยู่แล้วในที่จุดนั้น Red Guard เริ่มบุกเข้าไปเผาทำลายค่ายทหารแล้วหัวขบวนการปฏิวัติวัฒนธรรมก็พยายามจะเบาๆลงเพราะตามธรรมชาติของการPurgeกันในทุกสังคมขบวนการจะเริ่มกลืนกินตัวเองจนไม่เหลืออะไรเลยเพราะว่าการที่จะบอกว่าใครจงรักภักดีต่ออะไรมากกว่ากันไม่มีทางที่จะจบสิ้น

เพราะเมื่อได้มีคนอยู่มากกว่า1คนย่อมต้องมีการเปรียบเทียบว่าใคร….มากกว่ามีABกับC  AกับB ร่วมมือกันกล่าวหาว่านั้นได้เป็นพวกของนายทุนไม่ใช่พวกของคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงCดดนลากไปฆ่าที่นี้ก็เหลือ  AกับB

คำถามคือ AกับBใครจะจงรักภักดีกว่ากันก็ต้องมีใครคนหนึ่งจะต้องถูกลากออกไปฆ่าเพราะรักน้อยกว่าในกระบวนการPurgeมันก็จะเป็นแบบนี้ก็อย่างที่ได้บอกในปลายปี 1967กระบวนการเรดการ์ดเริ่มถูกลดทอนอำนาจลงโรงเรียนในระบบถูกปิดทั้งหมดพรรคคอมมิวนิสต์ได้ออกนโยบายส่งเยาวชนเรดการ์ดออกไปอยู่กับชาวนาในชนบทนโยบายนี้จงทำให้ประชากรเมืองถึง10%หายไปเลยและนโยบายSent Down Youth กินเวลาไปอีก10ปีเยาวชนี่ได้ถูกส่งออกไปต่อมาถูกเรียกว่าThe Lost Generatinoหรือว่าคนรุ่นที่สูญหายเพราะจะต้องออกจากโรงเรียนกลางคันโรงเรียนถูกปิดโอกาสทางการศึกษาจบลง

นอกจากนั้นเมื่อพวกเขาได้กลับเข้ามาสู่สังคมเมืองประธานเหมาเจ๋อตงและรูปแบบของการปกครองประเทศก็ได้ถูกพลิกไปในทางทุนนิยมคือกลับหลังหันจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่เยาวชนเหล่านี้แทบจะถูกล้างสมองมาก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม100%เลยทีเดียว

เนื่องจากนี้ในปี1967หลังจากที่ความรุนแรงของเรดการ์ดได้เริ่มซาลงบทบาทของเจียงชิงและทีมอีกสามคนคือ จางชุนเฉียว เหยา เหวินหยวน และ หวาง หงเหวิน ก็ชัดเจนมากขึ้นเพราะกลายเป็น4ผู้ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากในพรรคอย่างชัดเจนบทบาทที่สำคัญของแก๊ง4คน ก็คือบทบาทการผลิตงานโฆษณาชวนเชื่อทางวัฒนธรรม

การแพร่ขยายโฆษณาชวนเชื่อที่ถูกต้องและการตัดสินงานวัฒนธรรมอื่นๆว่าอันไหนถูกอันไหนผิด งานเขียน งานภาพ งานละคร งานเพลง อันไหนถูกต้องยอมรับได้งานไหนเป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมการณ์งานไหนที่ยังคงแสดงความจงรักภักดีต่อประธานไม่พองานไหนคนเขียนสมควรติดคุกงานทางศิลปะวัฒนธรรมทั้งหมดในช่วงนั้นใีเพียงTheme เดียวคือTheme เชิดชูประธานเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ซึ่งงานในยุคนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ทางPop Cultureอย่างหนึ่งที่คนจะนึกถึงเมื่อคิดถึงศิลปะสมัยใหม่ของจีนตอนนี้มันก็ดูเก๋ ดูป๊อป ดูอาร์ตอะแต่ว่าที่มาที่ไปของความพังของชีวิตของคนจีนจำนวนมากก็เป็นเบื้องหลังของงานเหล่านี้เหมือนเป็นสองหน้าของเหรียญที่แยกกันไม่ได้เลย

 

ขอขอบคุณ  bk8  ที่ให้การสนับสนุน

แดร็กคิวล่าหรือแวมไพร์มันมีอยู่จริงๆบนโลกหรือไม่?

Posted on 8 มิถุนายน 20208 มิถุนายน 2020Categories ตำนานTags ,

ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงตำนานหรือว่าผีดูเลือดแดร็กคิวล่าหรือว่า แวมไพร์ก็คือจะเป็นชื่อแรกๆที่มันเด้งเข้ามาในหัวกันใช่หรือไม่ แต่เอาจริงๆแล้วตำนานผีดูดเลือดในยุคแรกๆนั้นมันไม่ใช่แวมไพร์ ยุคแรกๆของโลกที่เราพูดถึงผีดูดเลือดจะพูดถึง

เรื่องLilitu,Succubus ที่นิยมกินเลือดเด็กกันและยังได้รวมไปถึงSasabonsamที่ยังได้เป็นเรื่องเล่าตำนานผีดูดเลือดจากชาวAshantiแห่งกาน่าอีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นตำนานของผีดูดเลือดแรกๆก่อนที่จะมี แวมไพร์นั่นเอง ส่วน แวมไพร์หรือแดร็กคิวล่า จริงๆแล้วมันก็คือสายพันธุ์เดียวกันนั่นแหละถ้าจะให้เราพูดแบบเข้าใจกันง่ายๆ 

แวมไพร์ มันก็คือผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรปสมัยยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่14-15ที่ได้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่กินอาหารเป็นเลือดมนุษย์แทนและมีชีวิตเป็นอมตะนั้นเอง คือที่มาของ แดร็กคิวล่า มันได้เป็นชื่อตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักเขียนท่านหนึ่งที่ชื่อว่าBramStoker โดยBramได้เขียน แดร็กคิวล่าขึ้นมาในเดือน พฤษภาคม ปี1897

โดยนิยายเรื่อง แดร็กคิวล่ามันจะมีเนื้อเรื่องหลักก็คือ แวมไพร์ ตัวหนึ่งที่มันได้มีชื่อว่าDracula โดยได้มียศถาบรรดาศักดิ์ในตัวเรื่องเป็นท่านเค้าและเนื้อเรื่อง แดร็กคิวล่าได้เป็นผีดูดเลือดที่ได้ฆ่าหญิงสาวมาแล้วหลายรายโดยจะหลอกล่อด้วยน่าตาก่อนที่จะทำการจมเขี้ยวไปที่คอเพื่อที่จะดูดเลือดหรือพลังงานชีวิตของเหยื่อและเนื้อเรื่องมันก็ได้ดำเนินมาเรื่อยๆจนสุดท้าย

ท่าน แดร็กคิวล่าโดยปิดชีพด้วยการตัดคอและแทงทะลุหัวใจในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง และตรงนี้ได้เป็นเพียงบทสรุปคร่าวๆที่เราได้ไปศึกษามาจากเนื้อเรื่องทั้งหมดจากนิยายของBramStoker ที่เขาได้แต่งขึ้นและได้มีความโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้นแต่ด้วยว่าที่เราจะเขียนนิยายหรือว่าบทความเนื้อเรื่องหนึ่งขึ้นมานั้นมันจะต้องมีแรงบันดานใจในการเขียนขึ้นมา

แต่แรงบันดานใจอะไรของBramStoker ที่ทำให้เขาเขียนในเรื่องของ แดร็กคิวล่าขึ้นมาและเรื่องนี้มันก็จะต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่15ในยุคนั้นได้มีเจ้าชายองค์หนึ่งที่ได้เป็นกษัตริย์วาลาเคียที่มีนามว่าVladที่3/Vlad Tepesด้วย

ความเก่งกล้าของเจ้าชายคนนี้ที่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของการสู้รบและการทำสงครามที่เก่งกล้าอย่างมากและก็ไม่เคยพ่ายแพ้ใครเลยและชื่อเสียงตรงจุดนี้มันก็เลยได้ทำให้เจ้าชายองค์นี้ได้ดังขึ้นมา

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

ตำนานGrim The Reaper 

Posted on 1 มิถุนายน 20201 มิถุนายน 2020Categories ประวัติศาสตร์Tags ,

สำหรับGrim The Reaperเขาได้ว่ากันว่าGrim The Reaperนั้นคือยมทูตแห่งความตายที่จะปราฏกกายและส่งสัญญาณให้คนได้เห็นได้รับรู้กันว่าวันสิ้นอายุขัยของคนๆนั้นใกล้จะมาถึงแล้วและให้เตรียมตัวและเตรียมใจที่จะได้ไปสู่พบภูมิข้างหน้าและในบางตำนานก็ยังได้กล่าวอีกว่าบางทีก็อาจจะมีคนที่ได้พบเห็นGrim The Reaperแต่ไม่ได้เป็นบุคคลที่จะเข้ามารับดวงวิญญาณคนๆนั้น

ก็อาจจะมีภัยหรือคนใกล้คนที่ได้เห็นก็อาจจะมีภัยและก็อาจจะเสียชีวิตได้อีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันได้เป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับGrim The Reaperที่เขาได้มีการสรุปออกมาว่ามันได้เป็นเทพแห่งความตายที่จะเข้ามารับดวงวิญญาณเวลาที่สิ้นอายุขัยแต่เขาได้บอกว่า ตำนานของGrim The Reaperตรงนี้ก็ยังได้มีอีกหลายคนที่ได้เชื่อกันว่าGrim The Reaperอาจจะเป็น1/4จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก

ซึ่งในตอนแรกที่เราได้ไปหาข้อมูลไม่รู้ว่า 4จตุรอาชา มันคืออะไรและมันได้มีอยู่ในหน้าประวันติศาสตร์จริงหรือเปล่าพอเราได้ไปหาข้อมูลในลึกๆหรือที่มันไม่มีบันทึกเอาไว้เขาได้บอกว่า สิ่งๆนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตมาแล้วและมันเคยทำให้คนตายไปหลายร้อยล้านคนมาแล้วอีกด้วย โดยข้อมูลของ 4จตุรอาชา เขาได้บอกเอาไว้ว่า  4จตุรอาชา เขาจะโพล่ออกมาในวันที่โลกได้ถูกพิพากษาว่าวันนั้นเป็นวันปลดบาปของโลกทุกๆคน

จะต้องชดใช้กรรมที่ตนเองนั้นได้ก่อขึ้นและรับผลร่วมกันโดยที่พระเจ้าจะเป็นคนปล่อย 4จตุรอาชา และได้ปลดผนึกให้ไปทำลายร้างโลกและพิพากษาโลกนั้นเองโดยคนแรกของจตุรอาชาที่ได้ถูกปล่อยไปคือ อาชาโรคระบาด White Horse Strife โดยอาชาแห่งโรคร้ายตามข้อมูลเขาได้บอกเอาไว้ว่าอาชาแห่งโรคร้ายนี้มันเป็นภัยโรคระบาดที่จะทำให้เหล่ามวลมนุษย์นั้น

จะต้องทนทุกข์กับการแพร่กระจายของโรคร้ายและไม่มีทางรักษาให้หายได้ด้วย ซึ่งโรคร้ายนี้มันจะทำให้คนล้มป่วยและทรมานกันเป็นจำนวนมากจนบางทีมันอาจจะมีหลายๆคนทนไม่ไหวและได้เสียชีวิตไปเลยก็มีอยู่เช่นกันและหลังต่อมาจากที่ได้มีภัยโรคระบาดแล้ว จตุรอาชา คนต่อไปก็ถูกปล่อยออกมา

ซึ่งจตุรอาชา คนๆนั้นก็คือ อาชาแห่งสงคราม Red Horse War โดยอาชาแห่งการทำสงครามนี้ ตำนานเขายังได้บอกเอาไว้ว่าจตุรอาชาท่านนี้จะออกมาเป็นภัยในการยุยงให้มนุษย์หลายฝ่ายออกมาทำการโจมตีแกร่งแย้งชิงดินแดนแย้งชิงอาหารแย้งชิงที่อยู่และบางทีมันก็อาจจะถึงขั้นยั่วยุให้คนกลุ่มๆหนึ่งต่อสู้กันโดยไร่สาเหตุมันก็มีเหมือนกัน

 

สนับสนุนโดย  bk8

เหล็กไหลไม่ตรงปกแบบที่ หลวงพ่อได้กล่าวเอาไว้?

Posted on 20 พฤษภาคม 202020 พฤษภาคม 2020Categories ตำนานTags ,

วันนี้เรามาดูเรื่องราวที่เขาแหลมที่อยู่ในตำบลห้วยแย้ อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ประเด็นมันก็มีอยู่ว่าหลังจากที่เราได้เข้าไปติดตามเรื่องดังกล่าวที่เขาแหลมแล้วก็ได้มีพระที่ได้นำพาเจ้าหน้าที่ทีมข่าวขึ้นไปด้วยกันจากนั้นหลวงพ่อสวนก็ได้หยิบหินขึ้นมาหนึ่งก้อนจากนั้นหลวงพ่อสวนก็ยังบอกอีกว่ามีบุญที่ได้มาแล้วที่หลวงพ่อสวนแก่ได้อกว่าที่ได้มีบุญนั้นเพราะอะไรรู้หรือไม่ซึ่งก็ได้มีรูปล่าสุดของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ที่เห็นบอกว่าได้ลงไปในพื้นที่จากนั้นก็ได้เข้าไปพูดคุยกับทางพระ

เนื่องจากว่ามีความกังวลว่าถ้าตัวหลวงพ่อเองได้บอกว่ามีเหล็กไหลและรูปภาพที่เจ้าหน้าที่ทีมข่าวได้มาจะเห็นได้ว่าหินนั้นมันได้โดนเจาะเป็นรูและพร้อมกับเจ้าหน้าที่และก็ได้เข้าไปประสารและก็ได้ให้ความเข้าใจกับพระอีกด้วยว่าไม่ควรให้คนขึ้นมาหาเจาะเอาเหล็กไหล ซึ่งก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่เองก็ได้รับข้อมูลมาบ้างแต่ผลปรากฎว่ามันได้เป็นข่าวขึ้นมาเรื่อยๆ ล่าสุดพอหลวงพ่อได้ให้เหล็กไหลไปแล้วก็บอกกับเจ้าหน้าที่ทีมข่าวว่าสรรพคุณเหล็กไหลซึ่งมันก็จะเป็นในเรื่องของอยู่ยงคงกระพันผู้ใดที่ได้นำเอามาไว้ในครอบครองจะปลอดภัยจากอันตรายได้มีเหล็กไหลหลายชนิดตามที่เราที่เพิ่งจะได้ข้อมูลมาจากหลวงพ่อ

และก็จากอีกหลายๆท่านมีหินเหล็กไหลจันทรา หินเหล็กไหลเงินยวง หิรเหล็กไหลสุริยัน หินเหล็กไหลเกล็ดมังกร โดยเบื้องต้นเราก็ได้เอาเหล็กไหลที่หลวงพ่อท่านว่ามันเป็นเหล็กไหลก็นำเอาไปผ่าดูโดยตัวหลวงพ่อเองก็ได้บอกว่าถ้าผ่าลงไปแล้วและเนื้อข้างในมันจะเป็นสีแดงซึ่งมันก็จะเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งวันนี้เราก็ได้นำเอาเหล็กไหลดังกล่าวเอาไปเจียเพื่อที่จะดูว่าเราจะได้อะไรบ้าง

ซึ่งในวันที่ได้เอาหินเหล็กไหลนั้นเอาไปเจียมันเจียลำบากมากเพราะมันมีขนาดที่เล็กหลังจากนั้นช่างก็ได้บอกว่าอย่าไปเจียมันเลย ทุบมันเลยดีกว่าพอทุบเสร็จแล้วข้างในมันจะเป็นสีแดงจริงมั้ย ซึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่าข้างในมันเป็นสีแดงพอได้ทุบออกมามันเป็นสีดำสนิดมันไม่มีสีแดงเลยสักนิดเดียวถามที่หลวงพ่อท่านนั้นได้กล่าวเอาไว้

ซึ่งตัวหลวงพ่อเองท่านก็ได้บอกว่ามันมีค่าพอเรานำเอามาทุบเท่านั้นแหละปรากฏว่าหินดังกล่าวมันเป็นสีดำพอไปถามนักล่าเหล็กไหลว่ามีใครสนใจซื้อหรือไม่จากนั้นก็ไม่มีใครรับซื้อเขาเราเลยและก็ไม่มีใครสนใจอีกทั้งยังได้บอกอีกว่ามันเป็นหินปกติ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8