มนุษย์หิมะหรือ เยติ มีอยู่จริงๆบนโลกหรือเปล่า?

Posted on 11 มิถุนายน 202011 มิถุนายน 2020Categories ตำนานTags ,

เราเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยได้ยินแล้วก็เคยพบเห็นแบบผ่านหูผ่านตากันมาแล้วว่าในโลกอินเตอร์เน็ตของเราได้มีการแชร์รูปของมนุษย์ที่ได้มีความสูง2-3เมตรแล้วก็มีขนปกคลุมไปทั่วร่างกายมีลักษณะท่าทางการเดินที่คล้ายมนุษย์แต่จะว่าเป็นลิงมันก็จะไม่ใช่จะว่าเป็นคนมันก็ไม่เชิงตรงจุดนี้เขาเลยค่อนข้างที่จะสงสัยเลยว่าเจ้าสิ่งๆนี้มันคืออะไรและ

สำหรับข้อมูลที่เราได้พูดถึงมนุษย์หิมะหรือว่า เยติ เขายังได้บอกเอาไว้ว่า เยติ ได้เป็นชื่อเรียกสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งในตามความเชื่อของคนชาวเศรปา,Sherpaที่ได้เป็นชนชั้นพื้นเมืองในอาศัยอยู่อยู่แทบบริเวณเทือกเขาหิมาลัยที่เขาได้มีการเล่ากันว่าได้มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สูงประมาณราวๆ5-8ฟุตน้ำหนักกว่า600ปอนด์มีรูปร่างที่คล้ายกับมนุษย์

ผสมลิงไม่มีหางหรือคลายกับกอริลลาที่ได้มีขนสีเทาหรือขนสีขาวที่ได้ปกคลุมไปทั่วร่างกายและยังได้มีเสียงร้องที่ค่อนข้างที่จะน่ากลัวอีกด้วยและตามข้อมูลเบื้องต้นยังได้บอกกันอีกว่า เยติ ได้มีลักษณะนิสัยที่รักสงบไม่ชอบทำร้ายผู้อื่นแต่ถ้าเกิดว่ามีคนไปทำให้มันกลัวหรือว่าทำให้มันตกใจมันก็จะมีอาการดุร้ายขึ้นมาทันที

ซึ่งตรงนี้มันได้เป็นข้อมูลที่บ่งบอกเกี่ยวว่า เยติ มีลักษณะเป็นอย่างไงโดนเบื้องต้น และถ้าเกิดว่าเราลองหาข้อมูลที่ลึกลงไปจริงๆก็จะพบว่า เยติ ได้ปรากฎอยู่ในวัฒนธรรม ต่างของชาว Sherpa มานานมากโดยถูกกล่าวถึงตามนิทานพื้นบ้านเพลงพื้นบ้านหรือตามเรื่องราวที่เขาได้ว่ากันว่ามีการไปเจอสิ่งที่มีชีวิตตัวนี้มาแล้วจริงๆและนอกจากนี้แล้วก็ยังได้มีการปรากฎตัวในรูปแบบของศิลปะทางพุทธศาสนานิกายมหารัฐธิเบตอีกด้วย และนอกจากนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ยังได้มีการบันทึกเอาไว้อีกว่ามีการบันทึกที่มีการค้นพบสิ่งที่เชื่อว่ามันน่าจะเป็นส่วนหัวของเยติและถูกเก็บเอาไว้ที่วัดลามะอีกด้วย

ซึ่งถามว่าเรื่องราวของ เยติ มันมีอยู่แถวเทือกเขาหิมาลัยหรือเทือกเขาเบตอย่างเดียวหรือเปล่าถ้าเอาตามความเป็นจริงหรือว่าเรื่องเล่าที่เขาได้ว่ากันมาเขาได้บอกว่าตำนานของ เยติ มันได้มีอยู่ทั่วโลกและ เยติ ในแต่ละที่มันก็ไม่เหมือนกันแต่ เยติ ในที่นี้มันได้หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับกอริลลาได้มีการยืนเหมือนคนมีความสูงกว่า3ฟุตในแต่ละพื้นที่มันก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

 

สนับสนุนโดย  สูตร sagame

แดร็กคิวล่าหรือแวมไพร์มันมีอยู่จริงๆบนโลกหรือไม่?

Posted on 8 มิถุนายน 20208 มิถุนายน 2020Categories ตำนานTags ,

ถ้าหากว่าเราจะพูดถึงตำนานหรือว่าผีดูเลือดแดร็กคิวล่าหรือว่า แวมไพร์ก็คือจะเป็นชื่อแรกๆที่มันเด้งเข้ามาในหัวกันใช่หรือไม่ แต่เอาจริงๆแล้วตำนานผีดูดเลือดในยุคแรกๆนั้นมันไม่ใช่แวมไพร์ ยุคแรกๆของโลกที่เราพูดถึงผีดูดเลือดจะพูดถึง

เรื่องLilitu,Succubus ที่นิยมกินเลือดเด็กกันและยังได้รวมไปถึงSasabonsamที่ยังได้เป็นเรื่องเล่าตำนานผีดูดเลือดจากชาวAshantiแห่งกาน่าอีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นตำนานของผีดูดเลือดแรกๆก่อนที่จะมี แวมไพร์นั่นเอง ส่วน แวมไพร์หรือแดร็กคิวล่า จริงๆแล้วมันก็คือสายพันธุ์เดียวกันนั่นแหละถ้าจะให้เราพูดแบบเข้าใจกันง่ายๆ 

แวมไพร์ มันก็คือผีชนิดหนึ่งตามความเชื่อของชาวยุโรปสมัยยุคกลางคริสต์ศตวรรษที่14-15ที่ได้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่กินอาหารเป็นเลือดมนุษย์แทนและมีชีวิตเป็นอมตะนั้นเอง คือที่มาของ แดร็กคิวล่า มันได้เป็นชื่อตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักเขียนท่านหนึ่งที่ชื่อว่าBramStoker โดยBramได้เขียน แดร็กคิวล่าขึ้นมาในเดือน พฤษภาคม ปี1897

โดยนิยายเรื่อง แดร็กคิวล่ามันจะมีเนื้อเรื่องหลักก็คือ แวมไพร์ ตัวหนึ่งที่มันได้มีชื่อว่าDracula โดยได้มียศถาบรรดาศักดิ์ในตัวเรื่องเป็นท่านเค้าและเนื้อเรื่อง แดร็กคิวล่าได้เป็นผีดูดเลือดที่ได้ฆ่าหญิงสาวมาแล้วหลายรายโดยจะหลอกล่อด้วยน่าตาก่อนที่จะทำการจมเขี้ยวไปที่คอเพื่อที่จะดูดเลือดหรือพลังงานชีวิตของเหยื่อและเนื้อเรื่องมันก็ได้ดำเนินมาเรื่อยๆจนสุดท้าย

ท่าน แดร็กคิวล่าโดยปิดชีพด้วยการตัดคอและแทงทะลุหัวใจในช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง และตรงนี้ได้เป็นเพียงบทสรุปคร่าวๆที่เราได้ไปศึกษามาจากเนื้อเรื่องทั้งหมดจากนิยายของBramStoker ที่เขาได้แต่งขึ้นและได้มีความโด่งดังมากที่สุดในยุคนั้นแต่ด้วยว่าที่เราจะเขียนนิยายหรือว่าบทความเนื้อเรื่องหนึ่งขึ้นมานั้นมันจะต้องมีแรงบันดานใจในการเขียนขึ้นมา

แต่แรงบันดานใจอะไรของBramStoker ที่ทำให้เขาเขียนในเรื่องของ แดร็กคิวล่าขึ้นมาและเรื่องนี้มันก็จะต้องย้อนกลับไปในศตวรรษที่15ในยุคนั้นได้มีเจ้าชายองค์หนึ่งที่ได้เป็นกษัตริย์วาลาเคียที่มีนามว่าVladที่3/Vlad Tepesด้วย

ความเก่งกล้าของเจ้าชายคนนี้ที่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของการสู้รบและการทำสงครามที่เก่งกล้าอย่างมากและก็ไม่เคยพ่ายแพ้ใครเลยและชื่อเสียงตรงจุดนี้มันก็เลยได้ทำให้เจ้าชายองค์นี้ได้ดังขึ้นมา

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

เมืองใต้พิภพ

Posted on 3 มิถุนายน 20202 มิถุนายน 2020Categories ตำนานTags ,

เมืองCappadocia ซึ่งได้เป็นเมืองที่ได้อยู่ทางตอนกลางของตุรกี ย้อนความกลับไปเมื่อประมาณปี1963 เมืองCappadocia ก็ได้มีการปรับปรุงผังเมืองแถวๆDerinkuyuและช่วงที่ได้มีการปรับปรุงผังของเมืองนั้นก้ได้มีการค้นพบครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์นั่นก็คือเมืองใต้พิภพที่มีอายุประมาณหลายพันปีนั่นเอง

โดยเมืองใต้พิภพที่เราได้พูดถึงกันตรงนี้เราได้ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเต็มเขาก็ได้บอกว่าเมืองตรงนี้ได้มาอายุประมาณหลายพันปี ซึ่งยังไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้เลยว่าอายุมันได้อยู่ช่วงไหนถึงช่วงไหนและมันได้มีความลึกประมาณ280ฟุตหรือ13ชั้นสามารถบรรจุคนได้มากกว่า20,000คนมีการค้นพบห้องเกือบทุกประเภทเลยทั้งห้องนอนห้องเก็บของห้องเก็บวายรวมถึงคอกเลี้ยงสัตว์และห้องทางพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย

ซึ่งในวิทยาการของคนสมัยก่อนมันสามารถที่จะขุดดินลงไปอยู่ได้ถึง13ชั้นกันเลยทีเดียว ซึ่งคนในสมัยปัจจุบันเรานั้นยังทำไม่ได้เลย ซึ่งการที่พวกเขาได้เข้าไปอยู่ในใต้ดินเราจะต้องคำนึงถึงหลายอย่างมากและอย่างแรกเลยที่เราขาดไม่ได้ก็คืออากาศหายใจแน่นอนว่าถ้าเราได้เรียนวิทยาศาสตร์มาทุกคนก็จะรู้ว่ายิ่งลงลึกไปเรื่อยๆอากาศมันก็จะยิ่งต่ำแล้ว

คนสมัยก่อนเขาทำกันได้อย่างไงจากเมืองตรงนี้ที่เราได้ไปศึกษามาเขาได้บอกว่าได้มีการขุดป่องอากาศขึ้นไปจนถึงพื้นดินและทำให้มันเป้นรูซึ่งมันเป็นป่องที่ระบายอากาศรวมไปถึงการรับแสงสว่างให้เข้ามาอยู่ในเมืองใต้พิภพและได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ ซึ่งต้องบอกเลยว่าการที่จะทำแบบนี้กับคนสมัยก่อนคือมันค่อนข้างยากมากด้วยวิทยาการอุปกรณ์ในการขุดเจาะ

และกำลังคนบอกเลยว่ามันเป็นไปค่อนข้างที่จะยากมากๆจนถึงมันจะเป็นไปไม่ได้เลยว่ามันจะสามารถทำแบบนี้ได้ ตรงนี้มันก็คืออีกอย่างหนึ่งที่เราได้บอกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ และอีกอย่าง วิศกรของมนุษย์สมัยก่อนเขาเก่งขนาดนั้นกันเลยหรอที่จะสามารถคำนวนว่ายิ่งลงลึกเข้าไปใต้ดินๆเราจะต้องมีเสาเข็มหรือเราจะต้องมีเสาเอาไว้พยุงพื้นดินด้านบนกี่เสา

และน้ำหนักกับความยาวหรือขนาดของเสานั้นมันจะต้องมีขนาดเท่าใดเพื่อที่จะไม่ทำให้พื้นดินนั้นมันถล่มลงมาและมันยังได้มีความลึกไปถึง13ชั้น ซึ่งเราต้องบอกเลยว่าวิศวะกรคนนั้นจะต้องเก่งเอามากๆต้องคำนวนให้ดีและให้มีความชัดเจนเพราะถ้าหากว่าได้พลาดไปเพียงแค่นิดเดียวแน่นอนว่าเมืองทั้งเมืองที่ได้อยู่ใต้พิภพจะต้องพังลงมาหมดทั้งเมืองกันเลยและตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันก็ไม่ถล่มและมันได้มีความแข็งแรงมากเขาเลยบอกว่าเป็นไปได้หรอว่าคนสมัยก่อนจะไม่มีการช่วยเหลือจากอารยธรรมอื่นๆหรือการช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับ

 

 

ขอขอบคุณที่ให้การสนับสนุนโดย  เว็บพนัน สล็อต

ประเพณีลอยกระทง

Posted on 2 มิถุนายน 20202 มิถุนายน 2020Categories ประเพณีTags ,

ประเพณีลอยกระทงเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชาวไทยสืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคจังหวัดสุโขทัย โดยอ้างอิงมาจากหนังสือ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ โดยจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี

รวมทั้งเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง แต่ว่าถึงยังไงประเพณีลอยกระทงก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือยุคไหน แต่ว่าความเชื่อถือและก็วัตถุประสงค์ของประเพณีลอยกระทงนั้นจะแตกต่างกันออกไป ได้แก่ ศาสนาพุทธ จะบูชาพระเกศแก้วจุฬามณี , บูชารอยพระพุทธบาทที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทา ซึ่งตอนนี้ก็คือแม่น้ำเนรพุททาในประเทศอินเดีย หรือถือได้ว่าเป็นการต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปโปรดพระพุทธมารดา

ประเพณีลอยกระทงนั้นมิได้มีแค่เมืองไทยของพวกเราเพียงแค่ประเทศเดียวแต่ว่ายังมี ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา ประเทศอินเดีย ประเทศจีน การลอยกระทงนั้นก็จะมีลักษณะที่ละม้ายกับเมืองไทยของพวกเราแต่ว่าจะแตกต่างกันออกไปเป็นเรื่องของ ความศรัทธาในแต่ละแคว้น พิธีการการไหว้บูชา แต่ว่าชาวไทยส่วนมากจะมีความคิดกันว่าการลอยกระทงโดยการนำดอกไม้ ธูป เทียนหรือข้าวของต่างๆใส่ลงไปในกระทง

และจากนั้นจึงนำไปลอยถือได้ว่าเป็นการขออโหสิพระแม่คงคา ที่ให้พวกเราได้มีน้ำไว้รับประทานไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน สะเดาะเคราะห์โรคภัยไข้เจ็บต่างๆรวมทั้งการอธิษฐานในสิ่งที่พวกเราปรารถนาลงไปในกระทงอีกด้วย ซึ่งประเพณีลอยกระทงปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช2562

สาเหตุที่เพราะอะไรส่วนมากกระทงถึงควรจะเป็นรูปทรงดอกบัว ตามตำนานในหนังสือ นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่เป็นสนมเอกของพระร่วง ในยุคกรุงสุโขทัยได้กล่าวถึงวันพระจันทร์เต็มดวงเดือนสิบสองว่า เมื่อในช่วงเวลาที่พระร่วงเสด็จประพาสทางน้ำ ในเวลาพิธียามค่ำคืน ได้รับสั่งบรรดาพระสนมนางกำนัล ตกแต่งกระทงประดับโดยการใช้เครื่องดอกไม้ธูปเทียน นำไปลอยน้ำของข้างหน้าพระที่นั่งในขบวนเสด็จ ในคราวนั้น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศที่เป็นพระสนมเอก ได้คิดประดิษฐ์กระทงเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น เนื่องจากว่ามีความคิดเห็นว่าเป็นดอกบัวซึ่งเป็นดอกบัวที่มีลักษณะที่พิเศษนั่นเอง

จึงทำให้การมีการสืบสารประเพณีลอยกระทงแบบนี้มาอย่างยาวนาน แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่บางส่วนที่ได้เล่าขาลเพียงเท่านั้น แต่ทว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรานั้นไม่ได้นำมาเสนอ เพราะเราอยากให้ทราบคร่าวๆเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการลอยกระทง ดังนั้นหากมีเวลาว่างเราจะนำเสนออีก หากท่านสนใจ

 

ขอบคุณผู้สนับสนุนโดย  เว็บพนันออนไลน์

ตำนานGrim The Reaper 

Posted on 1 มิถุนายน 20201 มิถุนายน 2020Categories ประวัติศาสตร์Tags ,

สำหรับGrim The Reaperเขาได้ว่ากันว่าGrim The Reaperนั้นคือยมทูตแห่งความตายที่จะปราฏกกายและส่งสัญญาณให้คนได้เห็นได้รับรู้กันว่าวันสิ้นอายุขัยของคนๆนั้นใกล้จะมาถึงแล้วและให้เตรียมตัวและเตรียมใจที่จะได้ไปสู่พบภูมิข้างหน้าและในบางตำนานก็ยังได้กล่าวอีกว่าบางทีก็อาจจะมีคนที่ได้พบเห็นGrim The Reaperแต่ไม่ได้เป็นบุคคลที่จะเข้ามารับดวงวิญญาณคนๆนั้น

ก็อาจจะมีภัยหรือคนใกล้คนที่ได้เห็นก็อาจจะมีภัยและก็อาจจะเสียชีวิตได้อีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันได้เป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับGrim The Reaperที่เขาได้มีการสรุปออกมาว่ามันได้เป็นเทพแห่งความตายที่จะเข้ามารับดวงวิญญาณเวลาที่สิ้นอายุขัยแต่เขาได้บอกว่า ตำนานของGrim The Reaperตรงนี้ก็ยังได้มีอีกหลายคนที่ได้เชื่อกันว่าGrim The Reaperอาจจะเป็น1/4จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก

ซึ่งในตอนแรกที่เราได้ไปหาข้อมูลไม่รู้ว่า 4จตุรอาชา มันคืออะไรและมันได้มีอยู่ในหน้าประวันติศาสตร์จริงหรือเปล่าพอเราได้ไปหาข้อมูลในลึกๆหรือที่มันไม่มีบันทึกเอาไว้เขาได้บอกว่า สิ่งๆนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตมาแล้วและมันเคยทำให้คนตายไปหลายร้อยล้านคนมาแล้วอีกด้วย โดยข้อมูลของ 4จตุรอาชา เขาได้บอกเอาไว้ว่า  4จตุรอาชา เขาจะโพล่ออกมาในวันที่โลกได้ถูกพิพากษาว่าวันนั้นเป็นวันปลดบาปของโลกทุกๆคน

จะต้องชดใช้กรรมที่ตนเองนั้นได้ก่อขึ้นและรับผลร่วมกันโดยที่พระเจ้าจะเป็นคนปล่อย 4จตุรอาชา และได้ปลดผนึกให้ไปทำลายร้างโลกและพิพากษาโลกนั้นเองโดยคนแรกของจตุรอาชาที่ได้ถูกปล่อยไปคือ อาชาโรคระบาด White Horse Strife โดยอาชาแห่งโรคร้ายตามข้อมูลเขาได้บอกเอาไว้ว่าอาชาแห่งโรคร้ายนี้มันเป็นภัยโรคระบาดที่จะทำให้เหล่ามวลมนุษย์นั้น

จะต้องทนทุกข์กับการแพร่กระจายของโรคร้ายและไม่มีทางรักษาให้หายได้ด้วย ซึ่งโรคร้ายนี้มันจะทำให้คนล้มป่วยและทรมานกันเป็นจำนวนมากจนบางทีมันอาจจะมีหลายๆคนทนไม่ไหวและได้เสียชีวิตไปเลยก็มีอยู่เช่นกันและหลังต่อมาจากที่ได้มีภัยโรคระบาดแล้ว จตุรอาชา คนต่อไปก็ถูกปล่อยออกมา

ซึ่งจตุรอาชา คนๆนั้นก็คือ อาชาแห่งสงคราม Red Horse War โดยอาชาแห่งการทำสงครามนี้ ตำนานเขายังได้บอกเอาไว้ว่าจตุรอาชาท่านนี้จะออกมาเป็นภัยในการยุยงให้มนุษย์หลายฝ่ายออกมาทำการโจมตีแกร่งแย้งชิงดินแดนแย้งชิงอาหารแย้งชิงที่อยู่และบางทีมันก็อาจจะถึงขั้นยั่วยุให้คนกลุ่มๆหนึ่งต่อสู้กันโดยไร่สาเหตุมันก็มีเหมือนกัน

 

สนับสนุนโดย  bk8

ตำนานขุนทรัพย์อาถรรพ์วัดกุฎีดาว 

Posted on 31 พฤษภาคม 202031 พฤษภาคม 2020Categories ตำนานTags ,

              ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเขตอำเภอเมืองมีวัดอีกวัดหนึ่งชื่อมีชื่อเสียงโด่งดังนั่นก็คือวัดกุฎีดาว ซึ่งวัดแห่งนี้มีตำนานความเชื่อเล่าต่อๆกันมาว่าที่วัดแห่งนี้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่มีการฝังเอาไว้บริเวณรอบๆวัดรวมทั้งสิ้นแล้วถึง 16 แห่งด้วยกัน และยังมีคนเจอลายแทงสมบัติด้วย เรื่องเล่านี้โด่งดังไปจนถึงกรมศิลปากรได้ทราบเรื่องเข้าจึงอยากจะเข้ามาขอค้นหาทรัพย์สมบัติมีค่าของประเทศเพื่อเอาไปเป็นทรัพย์สินของประเทศชาติจึงได้ทำเรื่องขอเข้ามาขุดค้นหาทรัพย์สิน 16 แห่งที่วัดกุฎีดาวแห่งนี้

โดยครั้งแรกที่มีการขอเข้ามาขุดคนนั้นคือปีพุทธศักราช 2503 และเมื่อทางเจ้าหน้าที่ทางกรมศิลปากรมากค้นหาเขาได้นำอุปกรณ์ค้นหาที่เรียกว่ามายนิเทคเตอร์อุปกรณ์นี้อุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับวัตถุที่เป็นทองได้ว่าอยู่ตรงบริเวณไหน และพวกเขาก็ค้นหาเจอจริงๆ เมื่อเครื่องจับหาทองคำร้องบอกว่ามีทองคำอยู่ข้างล่างใต้ดินแต่เมื่อพวกเขาทำตามขุดลงไปด้านล่างตามที่เครื่องบอกพวกเขากลับไม่พบทรัพย์สมบัติอะไรเลย

นอกจากพี่กรมศิลปากรจะไม่พบสมบัติแล้วพวกเขายังเจอเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย  เช่นพบเห็นชายแต่งชุดโบราณคล้ายๆกับชุดนักรบแต่ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรนั่นก็คือชายคนดังกล่าวนั้นไม่มีหัวอยู่บนบ่า หรือบางคนเล่าว่าหลังจากที่เสร็จงานแล้วเข้าที่พักพวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงคนมาขุดดินบริเวณที่พวกเขาขุดกันอยู่

แต่เมื่อพวกเขาออกไปดูก็ไม่พบเห็นว่าใครจะมาขุดดินบริเวณนั้นเลย จนในที่สุดพวกเขาก็ไปปรึกษาพระอาจารย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการจะนำทรัพย์สมบัติขึ้นมาจากใต้ดินเมื่อขุดไปแล้วก็ไม่พบรวมถึงเรื่องของการพบวิญญาณของนักรบกวนคอยเฝ้าสมบัติอยู่ ซึ่งพวกเขาอยากรู้ว่าวิญญาณของชายหัวขาดนั้นคืออะไรกันแน่โดยพระอาจารย์ก็ได้เล่าให้ฟังว่านั่นคือปู่โสมเป็นวิญญาณที่จะคอยเฝ้าสมบัติของชาติไม่ให้ใครเอาไปได้ และวิญญาณของหลวงปู่สมที่มาให้นักโบราณคดีเห็นนั้นกำลังโกรธแค้น

เจ้าหน้าที่ที่มาขุดสมบัติอย่างมากเนื่องจากว่าปู่โสมเห็นว่าเจ้าหน้าที่หลายคนที่พากันมาช่วยขุดสมบัตินี้หวังที่จะเอาทรัพย์สมบัติเหล่านี้เป็นของส่วนตัวของตนเอง และปู่โสมไม่ได้แค่อย่างเดียวเท่านั้นปู่โสมได้มีการสาปแช่งลูกหลานคนไหนก็ตามที่ต้องการมาเอาทรัพย์สมบัติของธาตุไปเป็นสมบัติของส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เจ้าหน้าที่ที่มาขุดหาทรัพย์สมบัตินั้น

ไม่ได้กลัวมากนักเพราะต่างก็ยังไม่มีใครจะสมบัติเลยแต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุและยังมีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งที่หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นเดียวกัน และคนที่เป็นหัวหน้านำเจ้าหน้าที่มาขุดหาขุมทรัพย์ที่นี่ก็มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการเงินทำอะไรก็ประสบแต่ความล้มเหลวเริ่มนับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนกล้าที่จะมาขุดสมบัติที่นี่อีกเลย

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าsagame

ตำนานไอ้คง ผีเฝ้าศาลาหน้าวัดตูม 

Posted on 31 พฤษภาคม 202031 พฤษภาคม 2020Categories ตำนานTags ,

วัดตูมเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนนสายประตูชัย  อยู่ในอำเภอ พระนครศรีอยุธยานั่นเอง  สำหรับที่วัดตูมนี้มีอายุเก่าแก่มานานหลายร้อยปีแต่ก็มีการบูรณะซ่อมแซมและได้มาซึ่งในสมัยของรัชกาลที่ 4 นั้นวัดตูมได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นวัดพระอารามหลวงซึ่งที่วัดตูมแห่งนี้บริเวณหน้าวัดจะมีศาลาท่าน้ำเก่าหลังคาจะมุงด้วยกระเบื้องดินเผา

ซึ่งศาลาท่าน้ำนี่เองที่เป็นตำนานเล่าขานกันมาว่าเป็นศาลาที่มีผีและมีความเฮี้ยนสุดๆ  ตามตำนานที่มีการเล่าขานกันเรื่อยมาถึงความเฮี้ยนของผีที่นี่ระบุว่าในช่วงเวลาที่เริ่มใกล้พบค่ำในทุกๆวันนั้นชาวบ้านที่เดินไปเดินมาผ่านมาแถวนี้มักจะมองเห็นว่าจะมีคนนั่งอยู่บริเวณที่ศาลาริมน้ำแห่งนี้พร้อมทั้งนำผ้าสีขาวมาคลุมตั้งแต่หัวจดเท้าเหลือแต่ใบหน้าออกมายืนทักทายให้กับคนที่เดินผ่านไปมาได้เห็นอยู่เป็นประจำ

ซึ่งใบหน้าดังกล่าวนั้นก็มักจะเป็นสีดำมืด ชาวบ้านมักจะมองไม่เห็นใบหน้ามองเห็นเพียงแค่สีดำๆเท่านั้นซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่อยู่แถวนี้กันเป็นอย่างมากดังนั้นในทุกๆเย็นเมื่อถึงเวลาใกล้ภพค่ำชาวบ้านที่อยู่บริเวณแถวหน้าวัดตรงใกล้ๆกับศาลาริมน้ำแห่งนี้จึงต่างปิดบ้านและไม่เคยออกมานอกบ้านในช่วงเวลากลางคืนกันเลยสำหรับเรื่องเล่านี้มีการเล่าขานกันว่าน่าจะเป็นวิญญาณของไอ้คงซึ่งเขาเล่าว่าไอ้คนนั้นมาอาศัยหลับนอนอยู่ที่วัดแห่งนี้โดยไอ้คนนั้นเป็นชายที่สติไม่ดี  ซึ่งใช้สติไม่ดีคนนี้มักจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าทางด้านเจ้าอาวาสจึงได้ให้เด็กวัดนำจีวรเก่าๆไปให้ไอ้คงใช้สติไม่ดีคนนี้

สวมใส่เริ่มนับตั้งแต่นั้นมานายคงก็อาศัยอยู่ในวัด   อาศัยกินข้าวที่พระแบ่งให้รวมถึงใช้จีวรที่พระมอบให้แต่แล้วอยู่ดีๆอยู่มาวันหนึ่งนายคง ก็เสียชีวิตยังไม่ทราบสาเหตุซึ่งทางด้านเจ้าอาวาสของวัดตูมก็ได้มีการจัดงานจัดส่งให้ตามปกติโดยมีการจัดงานให้ถึง 7 วันด้วยกันแต่หลังจากที่ผ่านพ้น 7 วันไปแล้วชาวบ้านก็เริ่มเห็นว่ามีวิญญาณของนายคงมาอาละวาดอยู่ที่บริเวณหน้าวัดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าผีที่อาละวาดอยู่นั้นรวมถึงผีที่อยู่ตรงศาลาหน้าวัดนั้น

ก็คือผีของนายคงนั่นเองซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่านายคงกลับมาเพราะต้องการให้ชาวบ้านทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครที่จะทำบุญไปให้นายคงเลย อยู่มาวันหนึ่งจะเอามาเดินออกบิณฑบาตในช่วงเช้ามืดพอดี และท่านเจ้าอาวาสก็ได้พบกับวิญญาณของนายคงซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้พบวิญญาณแล้วทางเจ้าอาวาสก็ได้มีการอุทิศส่วนกุศลทำบุญกรวดน้ำให้กับนายคง และนับตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสนั้นอุทิศส่วนกุศลให้กับนายคงก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนได้เจอกับวิญญาณของนายคงมาอยู่ที่ท่าน้ำอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ต่างประเทศ

3เหลี่ยมปีศาจมันมีอยู่บนโลกนี้จริงหรือไม่

Posted on 30 พฤษภาคม 202030 พฤษภาคม 2020Categories ประวัติศาสตร์Tags ,

สำหรับ3เหลี่ยนปีศาจที่เราจะพูดถึงหลายๆคนก็น่าจะนึกถึงแต่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ากันใช่หรือไม่แต่จริงๆแล้ว3เหลี่ยมปีศาจนั้นมันได้มีอยู่ทั่วโลก

ถ้าหากว่าจะเอาตามความหมายกันจริงๆ3เหลี่ยมปีศาจมันคือพื้นที่ที่อยู่ในท้องทะเลทั่วโลกที่มีการสูญหายของเรือและเครื่องบินกันอยู่บ่อยครั้งและในพื้นที่แถบนั้นมันได้มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างที่จะเลวร้ายกันตลอดทั้งปีและพื้นที่แต่ละพื้นที่นี้มันมักจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่สามจุดตรงนี้เลยถูกตีความว่าเป็น3เหลี่ยมปีศาจนั้นเอง

ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เกิดอยู่ใน3เหลี่ยมปีศาจทั่วโลกจึงทำให้หลากๆคนนั้นได้ตีความไปหลายอย่างมากไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสภาพอากาศของพื้นที่ที่เลวร้ายตลอดทั้งปีอย่างที่ได้บอกกัันไปหรือบางคนก็อาจจะบอกว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของออสูรที่มันได้อยู่ใต้ท้องทะเลที่ได้บุกเข้ามาจู่โจมเรือมันก็เป็นได้หรือบางคนก็ได้ลือไปถึงพลังงานที่มันได้อยู่เหนือธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพลังงานลี้ลับมนุษย์ต่างดาวหรือประตูมิติ

ที่ดูดเรือและเครื่องบินเข้าไปก็มีอยู่เช่นกันซึ่งตรงจุดนี้เราก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาแบบมั่วๆแต่มันได้มีหลักฐานที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่มันได้ถูกบันทึกเอาไว้มันมีอยู่จริงๆแต่ตรงนี้เราก็จะต้องแยกกันไปเป็นบางกรณี อย่างกรณีแรกเราของยกทฤษฎีที่เกี่ยวกับพลังงานของลี้ลับหรือมนุษย์ต่างดาวก่อนแล้วกันตามบันทึกข้อมูลยังได้บอกเอาไว้ว่าในปี1945กองทัพสหรัฐอเมริกา

ก็ได้ส่งเครื่องบินจำนวน5ลำออกบินปฎิบัติภารกิจแต่หลังจากที่ออกบินได้ไม่นานเคร่องบินทั้ง5ลำมันก็ได้หายออกจากจอเรด้าร์ ซึ่งในเวลาต่อมาทางกองทักเรือของสหรัฐก็ได้มีการส่งเครื่องบินกู้ภัยไปจุดตรงที่จุดเกิดเหตุแต่เมื่อเครื่องบินกู้ภัยได้ไปถึงที่เกิดเหตุก็ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นกันคือเครื่องบินกู้ภัยมันได้หายไป

และที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันได้หายไปในจุดเดียวกันกับที่เคร่องบินทั้ง5ลำไปหายไปอีกด้วยซึ่งถ้าหากว่าเรานั้นมองตามหลักความเป็นจริงแล้วบริเวณพื้นที่ของ3เหลี่ยมเบอร์มิวด้าถูดตั้งอยู่ในพื้นที่3จุดที่เชื่อมกันนั้นก็คือหมู่เกาะFLORIDAทางปลายสุดของรัฐฟลอริดาและเปอร์โตริโกซึ่งในทุกครั้งที่มีการสูญหายของเรือหรือเครื่องบินในบริเวณพื้นที่นี้

ปรากฎว่าไม่มีการค้นพบซากเรือหรือซากเครื่องบินแต่อย่างใดหรือแม้แต่หลักฐานอะไรก็แล้วแต่ที่บ่งบอกว่ามีการตกมีการอับปางของเรือในบริเวณนี้ตรงนี้มันเป็นอะไรที่น่าแปลกใจมากถ้าตามหลักความเป็นจริงแล้วต่อให้เรือมันได้จมลงไปด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่มันแย่เกิดพายุเกินน้ำวนหรือถูกสัตว์ร้ายโจมตี

มันจะต้องมีซากเศษเหลือออกมาบ้างและบริเวณ3เหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันมีหมูเกาะอยู่หลายจุดยังไงมันก็จะต้องมีโอกาสที่เศษเหล่านั้นไปตกค้างตามหมู่เกาะหรือในกรณีที่มันเป็นไปได้มากยังไงมันก็จะต้องมีทีมค้นหาตรงจุดบริเวณนั้น

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เว็บพนัน

ประวัติหลวงพ่อสุดใจ  วัดป่าบ้านตาด 

Posted on 28 พฤษภาคม 202028 พฤษภาคม 2020Categories ประวัติศาสตร์Tags ,

                สมเด็จหลวงพ่อสุดใจวัดป่าบ้านตาดนี้เราเพิ่งสูญเสียท่านไปจากการที่ท่านมรณภาพด้วยการถูกไฟไหม้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดและเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นที่เคารพรักของชาวบ้านและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างๆมากมายซึ่งก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตนั้นท่านยังได้มีการดำเนินส่วนตัวของท่านไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

เพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุต่างๆเป็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 2 ล้านบาทเลยทีเดียวสำหรับประวัติของหลวงพ่อสุดใจวัดป่าบ้านตาดนั้นท่านแต่เดิมนั้นเป็นคนจังหวัดสมุทรปราการหลังจากที่ท่านได้เรียนจบระดับปริญญาตรีและปริญญาโทแล้วทางเข้ามาอุปสมบทซึ่งก่อนที่ท่านจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์นั้นท่านใช้ชื่อว่าสุดใจโดยท่านเกิดตรงกับวันเสาร์ที่ 14 เดือนตุลาคมปีพุทธศักราช 2487 หลังจากที่ท่านบวชเรียนเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว

ท่านใดมาศึกษาหาความรู้ทางพระธรรมวินัยกวักหลวงปู่อ่อนที่วัดป่านิโครธารามจังหวัดอุดรธานีโดยท่านได้มีการร่ำเรียนวิชาหาความรู้อยู่ที่วัดป่านิโครธารามนี้อยู่ที่ประมาณ 3,000 หาหลังจากนั้นท่านก็ย้ายพรรษามาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดจังหวัดอุดรธานีโดยท่านได้เรียนรู้เป็นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงตามหาบัวซึ่งท่านเปรียบเสมือนมือขวาของหลวงตามหาบัวเลยก็ได้เพราะท่านคือคนที่หลวงตามหาบัวไว้วางใจมากที่สุดในการให้ดูแลความเรียบร้อยต่างๆภายในวัดป่าบ้านตาด

โดยท่านอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดนี้ตั้งแต่ท่านย้ายมาจนท่านสิ้นชีวิตก็เป็นระยะเวลาถึง 40 ปีด้วยกัน สำหรับหลวงพ่อสุดใจนั้นเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่นิยมพูดมากนักท่านจะเป็นคนพูดน้อยแต่ท่านเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้และท่านก็อยู่กับหลวงตามหาบัวจนวาระสุดท้ายของหลวงตาเลยทีเดียวท่านเป็นคนที่ถ่อมตนแต่เป็นคนขยันทำงานเอาจริงเอาจังรวมถึงท่านยังมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการจัดทำเว็บไซต์ให้กับวัดป่าบ้านตาด

สำหรับหลวงพ่อสุดใจนั้นมีลูกศิษย์ลูกหามากมายที่เคารพท่านและรักท่านเป็นอย่างมากจนที่ท่านมรณภาพลูกศิษย์ลูกหาก็ยังมาคอยดูแลจัดงานศพให้ท่านซึ่งท่านมรณภาพเมื่อท่านอายุได้ประมาณ 75 ปีโดยท่านมรณภาพที่วัดป่าบ้านตาดซึ่งขณะที่ท่านมรณภาพนั้นท่านยังคงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่ ในขณะที่หลังจากที่หลวงตามหาบัวได้มรณภาพไปนั้นท่าน

ก็ได้ดำรงตำแหน่งขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงตามหาบัวและท่านก็บูรณะดูแลวัดป่าบ้านตาดมาด้วยดีเสมอมา มีลูกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมากซึ่งท่านเป็นที่รักของชาวบ้านและประชาชนโดยทั่วไปอย่างแท้จริงเพราะท่านถือเป็นพระรูปหนึ่งที่เป็นพระนักพัฒนาเช่นเดียวกัน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  sagame mobile

โชคดีเพราะล็อกดาวน์ทำสองพี่น้องพบทองคำแท่ง

Posted on 24 พฤษภาคม 202024 พฤษภาคม 2020Categories ข่าวสังคมทั่วไปTags ,

โชคดีเพราะล็อกดาวน์ทำสองพี่น้องพบทองคำแท่ง ที่มีอายุยาวนานกว่า 50 ปีมาครอบครอง

        ที่ประเทศฝรั่งมีครอบครัวของนักธุรกิจครอบครัวหนึ่ง เขาได้มีการพาลูกชายวัย 10 ขวบของพวกเขาจำนวน 2 คนได้ย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเพราะต้องการหลีกหนีปัญหาของการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประเทศฝรั่งเศสกำลังผจญปัญหากันอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ และแน่นอนว่า พวกเขาได้ย้ายมาอยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมืองมากเพื่อหวังรับเอาอากาศที่บริสุทธิ์ของธรรมชาติของต่างจังหวัดและห่างไกลจากเชื้อโรคด้วย

โดยพวกเขานั้นได้พากันย้ายมาอยู่บ้านเก่าของคุณย่าผู้ที่ล่วงลับไปนานแล้ว และที่นี่เป็นมรดกตกทอดที่ครอบครัวของเขาได้รับ และเมื่อมาถึงที่นี่เด็กชายทั้งสองคนต่างก็รู้สึกเบื่อหน่ายกันมากเพราะนอกจากป่าเขาและต้นไม้แล้ว พวกเขาแทบไม่มีอะไรให้เล่นเลย ดังนั้น เด็กชายทั้งสองจึงได้ขออนุญาตไปค้นของเก่าในห้องเก็บของเพื่อเอามาเล่น

โดยพวกเขาต้องการที่จะสร้างบ้านไม้ที่หลังบ้านเด็กทั้งสองคนจึงได้นำผ้าห่มเก่าแล้วในห้องเก็บชองมาเล่นและพวกเขาก็เจอแท่งสี่เหลี่ยมเล็กเล็ก  แต่พวกเขายังเด็กเกินกว่าที่จะสนใจว่าแท่งนั้นคืออะไร และเมื่อพวกเขาเล่นกันจนพอใจแล้วจึงนึกถึงเรื่องของเจ้าแท่งปริศนานี้ได้ จึงได้นำมันมาให้พ่อของพวกเขาดู

จนในที่สุดพ่อของพวกเขาก็ส่งไปให้บริษัทที่รับประมูลของเก่าช่วยดูให้ซึ่งเขาพบว่าที่แท้เจ้าแท่งสี่เหลี่ยมอันนี้ คือทองคำแท่ง และเมื่อนำไปชั่งน้ำหนัก ทำให้รู้ว่าทองแท่งนี้หนักถึง 1 กิโลกรัมโดยพวกเขาพบทองแท่งนี้จำนวนสองแท่ง  นักธุรกิจจึงได้ให้ทางบริษัทประมูลเปิดการประมูลขายทองคำแท่งสองก้อนนี้ เนื่องจากว่าจากการตรวจแล้วพบว่าทองนี้มีการซื้อมาตั้งแต่ปี ค.ศ.  2510

  ซึ่งทองคำแท่งสองแท่งนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า 50 ปีมาแล้ว ทำให้นักสะสมทอง ต้องการที่จะซื้อไว้เป็นของเก่าสะสม จากที่เขาคิดว่าหากขายทองออกไปในราคาขายของเก่าก็น่าจะได้เงินราวราว แท่งละประมาณ หนึ่งล้านสี่แสนบาท  แต่เมื่อส่งเรื่องทำการประมูล ทางบริษัทประมูลกลับยืนยันออกมาว่า พวกเขาน่าจะได้รับเงินจากการประมาณทองแท่งเก่านี้

อย่างต่ำแท่งและสามล้านห้าแสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นราคาทองที่สูงอย่างมากเพราะหากสองแท่งรวมกันแล้ว พวกเขาจะมีเงินมากกว่าเจ็ดล้านบาทเลยทีเดียวนับว่าเป็นโชคดีในช่วงวิกฤตเป็นอย่างมากสำหรับครอบครัวของนักธุรกิจรายนี้   

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  sagame